วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพื่อประกอบการพัฒนาการศึกษา

นายปกรณ์ นิลประพันธ์
กรรมการร่างกฎหมายประจำ
(นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา


                   ช่วงนี้มีการพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาอย่างครึกโครม ประกอบกับผู้เขียนมีบุตรที่กำลังอยู่ในวัยเรียนและอยู่ในระบบการศึกษา ผู้เขียนและบุตรจึงนับเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในประเด็นนี้ จึงขอเสนอข้อมูลและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของสาธารณชนและผู้เกี่ยวข้องด้วย

                   บังเอิญว่าผู้เขียนมีโอกาสอ่านรายงานฉบับหนึ่งของ OECD รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะ สรุปความได้ว่าโลกในอีก 20 ปีข้างหน้านั้นจะเป็น "โลกเสมือนไร้สัญชาติ" เพราะความก้าวหน้าของระบบการสื่อสารและการคมนาคมทำให้การอพยพย้ายถิ่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ประกอบกับแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาตามสภาวะการณ์ของสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น และระบบเศรษฐกิจโลกจะโน้มเอียงไปในทางการให้บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

                   เมื่อเป็นเช่นนี้ รายงานฉบับนี้จึงเสนอแนะว่าทุกประเทศจึงต้องพัฒนาการศึกษาให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ว่า กล่าวคือ ต้องพัฒนาบุคคลากรของตนให้มีลักษณะ 3 ประการเรียงตามลำดับดังนี้

                   (1) มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เพราะความคิดสร้างสรรค์จะนำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรม (Innovation) ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากกว่าการผลิตพื้นฐาน หรือการเป็นโรงงานรับจ้างประกอบ ที่เห็นได้ชัดเจนคืออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และ Digital Contents ทั้งหลาย

                   (2) มีความสามารถในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ ได้อย่างดี (Collaboration)  ดังนั้น คนยุคหน้าจึงต้องมีความฉลาดทางอารมณ์สูง เข้ากับผู้อื่นได้ดี มีอัตตาต่ำ เข้าใจและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

                   (3) มีความฉลาด (Talent)

                   สังเกตไหมครับว่าเขาจัดความฉลาดอยู่ในลำดับสุดท้าย เพราะผู้มีความฉลาดหากเข้ากับผู้อื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่การอยู่ร่วมกันและการทำงานเป็นทีม ทั้งยังอาจสร้างปัญหาขึ้นอีก

                   โดยส่วนตัว ผู้เขียนเห็นว่าการพยากรณ์และข้อเสนอแนะของ OECD สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลกและมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมบุคคลากรของเราให้มีคุณลักษณะทั้งสามประการดังกล่าว มิฉะนั้นประเทศไทยเราอาจต้องไปแอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งในเวทีโลก

                   ผู้เขียนสังเกตว่าการศึกษาไทยที่ผู้เขียนประสบมาเองและที่บุตรชายของผู้เขียนกำลังประสบอยู่นั้นเหมือนกัน เราทั้งสองรุ่นถูกสังคมรายล้อมปลูกฟังให้ต้อง "เรียนเก่ง" ไว้ก่อน เก่งที่ว่านี้คือต้องได้คะแนนสูง ๆ เข้าไว้ ประกอบกับหลักสูตรการศึกษายังคงเป็นหลักสูตรที่ถูกกำหนดมาจากเบื้องบน ดังจะเห็นได้ว่าทุกคนในแต่ละระดับชั้นต้องเรียนเหมือนกันทุกวิชา และแต่ละห้องต้องเรียนโดยใช้ตารางสอนเดียวกันหมดราวกับปลาทูในเข่ง ทั้ง ๆ ที่ผู้เรียนแต่ละคนมีบุคลิกลักษณะ ทักษะ และความถนัดที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด บางคนไม่ถนัดการคำนวณ บางคนไม่ถนัดภาษา บางคนถนัดพละศึกษา ฯลฯ แต่ทุกคนต้องเรียนเหมือนกันและต้องสอบข้อสอบเดียวกัน คะแนนตัดสินคือคะแนนรวม นัยว่าเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งผู้เขียนสงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วว่ามันเป็นธรรมสำหรับผู้เรียนจริงหรือไม่ในเมื่อทุกคนถนัดแตกต่างกัน

                   เรื่องความสามารถในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ นั้น ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันนั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ ผู้เขียนพบว่าเรายังมีค่านิยมที่ว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครอย่างเหนียวแน่น และค่านิยมนี้ทำให้เราไม่สนใจที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจชาติอื่น ไม่ต้องเอาอื่นไกล ประเทศเพื่อนบ้านเราก็ไม่ใส่ใจที่จะรู้ เรามักเรียนรู้เรื่องตะวันตกที่อยู่ห่างไกลมากกว่าเรื่องตะวันออกที่ใกล้กับตัวเรา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ารู้ลึกรู้จริงหรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าเรายังไม่ได้เตรียมระบบการเรียนการสอนเพื่อรองรับพหุสังคม (Multicultural Society) เท่าที่ควร คงมีแต่ธงของชาติอาเซียนที่ติดตั้งปลิวไสวในสถานศึกษาเท่านั้น

                   สำหรับเรื่อง Creativity ผู้เขียนเห็นว่าระบบการศึกษาไทยเน้นความเก่งตามตำรา ทำอย่างไรจะได้คะแนนสูง ๆ เป็นเป้าหมายหลัก ผู้เรียนจึงจึงขาดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต

                   ปีก่อนบุตรของผู้เขียนได้รับโอกาสไปเรียนร่วมกับนักเรียนชั้น ม. 2 ในโรงเรียนธรรมดา ๆ แห่งหนึ่งของออสเตรเลีย เมื่อกลับมาผู้เขียนได้ขอสมุดจดวิชาต่าง ๆ ของเขามาดูและสัมภาษณ์ว่าเขาเรียนอะไรอย่างไรบ้าง พบว่าเขาจัดการศึกษาตามความถนัดของผู้เรียนเป็นหลัก ไม่ใช่ความสะดวกของผู้สอน ผู้เรียนในห้องเดียวกันไม่ต้องเรียนเหมือน ๆ กันทุกวิชา แต่ให้เรียนตามความสนใจของตัวเอง เช้าเรียนวิชาการแบบเดินเรียน ช่วงบ่ายเป็นวิชากิจกรรมและพลศึกษาก่อนกลับบ้าน

                   ว่าด้วยภาควิชาการ ในวิชา Geography ผู้เขียนถึงกับตกใจเมื่อพบว่าเขาสอนนักเรียนเกี่ยวกับ Kyoto Protocol ซึ่งว่าด้วย Carbon emission ในฐานะที่พลเมืองออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลก เขามอบให้เด็กไปอ่านหนังสือแล้วมาพูดคุยถกเถียงกันในชั้น ไม่ใช่จดตามที่ครูเขียนบนกระดานดำเพื่อให้ไปท่องมาสอบให้ตรงตามครูสอน ครั้นเมื่อผู้เขียนไปสอนระดับปริญญาโทในสาขาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและนิสิตล้วนแล้วแต่ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จึงลองให้นิสิตช่วยกันอธิบายเกี่ยวกับ Protocol ดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้เลย!

                   ผู้เขียนไม่ใช่นักการศึกษาแต่เป็นนักกฎหมาย จึงไม่รู้ว่าจะพัฒนาการศึกษาท่าไหนดีจึงจะบรรลุถึงสิ่งที่ชาวโลกเขากำลังเดินไป จึงขอฝากข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อประกอบการพิจารณาของนักปฏิรูปการศึกษา .. ไม่ใช่ไม่ใช่ .. นักพัฒนาการศึกษาด้วย


                   เราเหลาะแหละต่อไปไม่ได้แล้ว และช้ากว่านี้อีกไม่ได้แล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น