วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เมื่อข้าว(อยู่)นอกนา โดย นายปกรณ์ นิลประพันธ์

เมื่อวันก่อนผู้เขียนไปกินข้าวแกงที่โรงอาหารธรรมศาสตร์ ก็ไปเข้าคิวตามปกติแหละครับ มีเด็กหนุ่มสาวรอก่อนหน้าผู้เขียนสัก 5-6 คน แล้วบังเอิญได้ยินน้องคิวแรกสั่งว่า "เอาข้าวน้อย ๆ นะคะ" ผู้เขียนสะกิดใจขึ้นมาเพราะสมัยผู้เขียนเป็นเด็ก เรามักจะ "ขอข้าวเยอะ ๆ นะป้า" จะได้อิ่ม ๆ เลยลองสังเกตน้อง ๆ คิวถัด ๆ มาด้วย พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นธรรมชาติทั้ง 5-6 คนนี้มีพฤติการณ์เดียวกันหมด คือ "เอาข้าวน้อย ๆ นะคะ/ครับ"



ระหว่างนั่งกินข้าว ผู้เขียนก็สังเกตเห็นว่าน้อง ๆ ส่วนใหญ่ในโรงอาหารกินข้าวไม่หมดจานอีก ทั้ง ๆ ที่ข้าวก็น้อยอยู่แล้ว เมื่อเดินสำรวจชั้นวางจานใช้แล้ว พบว่ามีข้าวเหลือเกือบทุกจาน และเมื่อกินข้าวเสร็จ น้อง ๆ ส่วนใหญ่จะกินกาแฟเย็นแก้วใหญ่คนละแก้ว พร้อมด้วยขนมห่อ ๆ สารพัดระหว่างนั่งคุยกัน



ดูหนังดูละครแล้วก็ย้อนมาดูตัว ผู้เขียนพบว่าอย่าว่าแต่วัยรุ่นเลย เดี๋ยวนี้รุ่นกลางอย่างผู้เขียนไล่ไปจนถึงรุ่นดึกก็กินข้าวน้อยลงเหมือนกัน เหตุเพราะกลัวอ้วน อ้วนแล้วโรคเยอะ เลยอนุมานเอาเองว่าวัยรุ่นเขาก็คงคิดเหมือนเรานั่นแหละ เพราะรายงานทางวิชาการต่าง ๆ ก็บ่งชี้มาตรงกันว่าข้าวเป็นคาร์โบไฮเดรต กินมาก ๆ แล้วอ้วน ถ้าไม่อยากอ้วนก็จงกินข้าวน้อย ๆ



ดังนี้ ผู้เขียนจึงสรุปเอาดื้อ ๆ ว่าพฤติกรรมการบริโภคข้าวของคนไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่เน้นข้าวเยอะ ๆ กินกับน้อย ๆ ไม่งั้นจะเป็นตานขโมย เป็นกินข้าวน้อย ๆ แทน แถมเดี๋ยวนี้เขากินอย่างอื่นแทนข้าวได้อีก เช่น ขนมปัง ซีเรียล มูสลี่ เป็นต้น ส่วนเหตุผลก็น่าจะเป็นเรื่องสุขภาพนี่แหละ ยิ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าคนไทยก็จะกินข้าวน้อยลงเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจะกินนะ แต่กินน้อยเพื่อรักษาสุขภาพ



สวนทางกับการบริโภคที่ลดลง เกษตรกรไทยเราเก่งขึ้น ปลูกข้าวได้ผลดีมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาโลกแตกก็ตามมาเชียว นั่นคือราคาข้าวตกต่ำ การกระตุ้นให้คนร่วมแรงร่วมใจกันบริโภคก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเราถูกปลูกฝังให้เชื่อโดยสุจริตแล้วว่ากินข้าวกินแป้งมาก ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าให้ช่วยกันซื้อก็คงได้สักรอบสองรอบ เพราะเมื่อซื้อไปแล้วคงต้องกินให้หมดก่อนไปซื้อรอบใหม่ ซึ่งเป็นนิสัยคนทั่วไป ครั้นจะส่งออกไปขายนอกบ้าน ประเทศอื่นเขาก็พัฒนาการปลูกข้าวเหมือนกัน แถมต้นทุนถูกกว่าเรา เขาจึงขายข้าวในราคาต่ำกว่าเรา ของเราก็ขายยากขึ้น แถมประเทศที่กินข้าวกันเป็นหลักต่างก็ปลูกข้าวได้กันทั้งนั้น



แต่เมื่อกระดูกสันหลังของชาติเดือดร้อน เราจะนิ่งดูดายกันได้อย่างไร ทุกรัฐบาลต่างก็เข็นมาตรการเร่งด่วนต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง จนหลายครั้งเป็นเรื่องเป็นราวอื้อฉาวเกิดขึ้น แต่ข้าวปลูกได้ปีละหลายรอบ แก้รอบนี้ อีกสามสี่เดือนก็ต้องตามมาแก้กันอีก นี่ยังไม่นับของเก่าคงค้างที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จอีกนะ เรื่องข้าวจึงกลายเป็นปัญหาคลาสสิคของชาติ รัฐบาลไหนไม่ได้วุ่นวายกับข้าว ให้เดาได้เลยว่าเป็นรัฐบาลอายุสั้น ข้าวยังไม่ทันเกี่ยวก็ไปเสียแล้ว



ผู้เขียนไม่ได้เป็นนักวิชาการด้านข้าว ไม่ได้เป็นพ่อค้า แต่เป็นนักกฎหมาย จึงคิดเอาเองว่าการแก้ปัญหาสินค้าต่าง ๆ คงต้องนำพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปมาประกอบการพิจารณาด้วยเพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน



โลกเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นะครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น